วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การผ่าตัดสมอง

การผ่าตัดสมอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การผ่าตัดสมอง 

การผ่าตัดสมองถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ แหวกเนื้อสมอง เพื่อทำการรักษาโรค ซึ่งคนไข้และญาติมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อความพิการและข้อแทรกซ้อนอื่น ๆ ซึ่งอาจจะลุกลาม เป็นอันตรายถึงชีวิต

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การผ่าตัดสมอง
ปัจจุบันเข้าสู่สมัยของเทคโนโลยียุคคอมพิวเตอร์ เครื่องมือแพทย์ ได้รับพัฒนาและออกแบบให้ทำงานล้ำหน้าสำหรับช่วยรักษาโรค มีความก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ประสาทศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดสมอง โดยมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างชัดเจนและมีความแม่นยำ ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า การผ่าตัดสมองด้วยเทคนิคนำวิถี (Steriotactic Neurosurgery) เราลองมาดูกันว่า เจ้าเทคนิคใหม่ที่ว่า จะมีขั้นตอนพิเศษอย่างไร จึงแตกต่างจากวิธีเดิม
 ขั้นตอนการผ่าตัดสมองแบบเดิมนั้น ต้องกรีดหนังศีรษะออกเป็นแผลยาว แล้วเลื่อยกะโหลกศีรษะออก เพื่อที่จะเข้าไปผ่าตัดสมองในส่วนที่เป็นโรค แต่มีข้อจำกัดว่า เราไม่สามารถรู้ ได้อย่างแน่ชัดว่า จุดที่ต้องการจะผ่าตัดนั้น จริง ๆ แล้ว อยู่ส่วนใดของสมองกันแน่ ทำให้ประสาทศัลยแพทย์ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว ในการคำนวณหาตำแหน่งของโรค เพื่อให้การเปิดกะโหลก ครอบคลุมจุดที่ต้องการผ่าตัดรักษา บางครั้ง อาจเกิดแผลมากกว่าที่ควรจะเป็น และในทางตรงกันข้าม อาจเปิดแผลเล็กเกินไป ทำให้เข้าถึงจุดที่ต้องการได้ลำบาก
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
 แต่ด้วยเทคนิคใหม่ของการผ่าตัดสมองด้วยระบบนำวิถี แพทย์สามารถกำหนดจุด ที่ต้องการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ ก่อนที่จะลงมีด โดยอาศัยอุปกรณ์พิเศษ ที่เป็นโลหะยึดกับศีรษะ  แล้วนำผู้ป่วย ไปเข้าเครื่องสร้างภาพของสมอง เมื่อได้ภาพตามต้องการแล้ว จึงนำภาพนั้นไปวางแผน กำหนดพิกัด โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์  ดังนั้น ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดสมอง จะสามารถเปิดแผลศีรษะเฉพาะจุด ที่ต้องการเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยมีบาดแผล เล็กลงอย่างมาก บางครั้งอาจผ่าตัดผ่านรูขนาดเล็กเพียง 1 – 2 เซนติเมตร ส่งผลให้ผู้ป่วย บาดเจ็บน้อย  สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการ หรือเสียชีวิตต่ำกว่า และที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิถีผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะแบบดั้งเดิมด้วย
 การผ่าตัดสมองด้วยเทคนิคนำวิถีนี้ สามารถนำมาใช้ รักษาโรคทางสมอง ได้หลายโรค อาทิเช่น โรคเลือดออกในสมอง โรคเนื้องอกในสมอง โรคฝีในสมอง และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือประกอบ ในรักษาโรคพาร์กินสัน โรคลมชัก หรือแม้แต่การใช้ เพื่อการฝังแร่กัมมันตรังสี หรือปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเข้าสู่สมอง เพื่อการรักษาโรค
 ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเช่นนี้เอง ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่มนุษยชาติ และเพิ่มโอกาส ให้เราได้อยู่กับ บุคคลที่รัก อย่างมีความสุข และยาวนาน กว่ายุคก่อนอย่างมาก

ในปัจจุบัน ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ให้บริการคลินิกรักษากระดูกสันหลัง และเส้นประสาทแบบบอบช้ำน้อย (Minimally Invasive Spinal Surgery Clinic) ขึ้นเพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษา และให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วย
แหล่งที่มาhttps://www.bangkokhospital.com/ 

ความสามารถพิเศษ

การเล่นกีฬา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กีฬากีฬาเป็นกิจกรรมนันทนาการ อาจจะเล่นเพื่อความสนุกหรือเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง การเล่นกีฬาเป็นสิ่งที่ดีมาก เราสามารถเล่นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทไหนก็ช่วยให้สุขภาพดีได้เหมือนกัน และไม่ใช่เพียงแต่เล่นเพื่อความสนุกอย่างเดียว ยังช่วยฝึกทักษะ คลายเครียด แถมยังช่วยลดความเสี่ยงของกลุ่มวัยรุ่นได้อีกด้วย กีฬาแต่ละชนิดก็ให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่น้อย
ในปัจจุบันสังคมไทยสนับสนุนให้คนเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ หรืออาจจะต่อต้านยาเสพติดก็มี ตามโรงเรียนหรือฟิตเนสส่วนมากจะส่งเสริมทางด้านกีฬาเพื่อจัดการแข่งขันขึ้นไม่ใช่เพราะกิจกรรมแต่เป็นเพราะการสร้างความสามัคคีในหมู่นักกีฬา ความมีน้ำใจ การให้อภัยซึ่งกันและกัน รู้จักแพ้รู้จักชนะ เราจะเห็นได้ว่าการแข่งขันกีฬามีหลายระดับและแข่งขันกันหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็นระดับ โอลิมปิก ระดับประเทศ ระดับโลก และคนทั่วโลกต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

ประโยชน์ต่อร่างกาย

  • ช่วยในเรื่องระบบหายใจ ปอด ให้แข็งแรงได้
  • ระบบไหลเวียนโลหิตและกล้ามเนื้อหัวใจ ทำงานได้ดีขึ้น
  • กล้ามเนื้อสวย และแข็งแรง
  • ช่วยลดความเครียด
  • ช่วยสร้างบุคลิกให้ดีขึ้นได้
  • ร่างกายมีความทนทาน ช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นตัวได้ดี
  • ช่วยในเรื่องของการทรงตัว
  • ทำให้นอนหลับสบาย
แหล่งที่มา https://javalovesedona.com/

มหาลัยของฉัน


จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ซึ่งประสงค์จะศึกษาขั้นสูงให้เข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราชให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาลต่อไป โดยในช่วงแรกมีการจัดการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์


จุดเด่นของที่นี่

- เป็นมหาลัยแห่งแรกในประเทศไทย

- มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการมาช้านาน

- สีชมพู ซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย บ่งบอกถึงความอ่อนโยน

- เป็นคู่แข่งกับธรรมศาสตร์ เนื่องจากงานบอลประเพณี

- เป็นกำลังสำคัญในการผลิตบุคลากรในอนาคตของประเทศชาติ

- ความฝันของเด็กนักเรียนหลายๆคนกำลังจะเข้ามหาลัย

- ในสายตาคนภายนอก ทั้งอาจารย์และนิสิต มหาวิทยาลัยนี้ ถือได้ว่าเป็นบุคลากรชั้น "หัวกระทิ" มิใช่มาจากผลงานด้านวิชาการที่โดดเด่นระดับโลกหรอก แต่มาจากคะแนนที่สูงลิบลิ่ว ติดเพดานบนของแทบจะ "ทุกคณะ" ส่งผลให้ ความเป็น "จุฬา" คือตัวแทนของ "คนฉลาด" หรือ พวกหัวดีในทุกสาขาสำหรับสายตาคนทั่วไป

- เด็กจากทั่วทุกสารทิศต่างกวดวิชากันเต็มอัตราศึกเพื่อเข้า จุฬา ที่เป็นตัวแทนแห่งความสูงส่งด้านวิชาการ

- เด็กที่จบจากจุฬา แล้วไปต่อ มหาวิทยาลัยดังๆที่ อเมริกานั้นเยอะมาก เมื่อเทียบกับที่อื่น

 

คณะแพทย์ศาสตร์

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

แหล่งผลิตบัณฑิตและแพทย์เฉพาะทาง มุ่งเน้นการเรียนการสอนที่บูรณาการกับการดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ เปิดสอนระดับปริญญาบัณฑิตและระดับบัณฑิตศึกษา ในสาขาวิชาซึ่งสังกัดภาควิชาต่าง ๆ อาทิ ภาควิชาชีวเคมี พยาธิวิทยา สรีรวิทยา วิสัญญีวิทยา จักษุวิทยา ศัลยศาสตร์ ฯลฯ  รวมทั้งเปิดสอนหลักสูตรนานาชาติ Clinical Sciences และ Medical Sciences ในระดับบัณฑิตศึกษาด้วย

ข้อดีของการเป็นแพทย์

1. เรียนหมอสนุกมากนะ
ได้รู้จักร่างกายมนุษย์ว่าทำงานอย่างไร
โรคต่างๆมีกลไกการเกิดโรคอย่างไร
พอขึ้นชั้นคลีนิก ก็ได้เรียนรู้กับคนไข้จริงๆ
ฝึกให้คิด มีเรื่องน่าค้นหามากมาย
เป็นประโยชน์กับเราเองและคนที่เรารัก
รู้ว่าควรดูแลตัวเองอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง
ไม่โดนโฆษณาชวนเชื่อต่างๆหลอกได้ด้วย


2. เวลาพ่อแม่เราป่วยไข้หรือไม่สบาย
เนื่องจากเราอยู่ในวงการอยู่แล้ว
รู้จักอาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง มากมาย
การเข้าถึงการรักษาของพ่อแม่เราก็จะดีและเร็วตามไปด้วย


3. การทำงานทุกวันของแพทย์
เหมือนเราได้ทำบุญทุกวัน มีกี่อาชีพที่ทำได้แบบนี้
แม้จะมีเรื่องบูลชิททั้งหลายแหล่ ทุกวันในเนื้องาน
แต่มันมักจะมีเรื่องดีๆซ่อนอยู่เสมอ
คนไข้น่ารักๆ มีเยอะครับ
เรื่องราวดีๆหล่านี้ อาจจะหาไม่ได้จากอาชีพอื่น
การที่เราได้ช่วยชีวิตคน มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
รวยล้นฟ้ามีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้นะครับ ความสุขแบบนี้


4. สังคมไทยทุกวันนี้ มองแพทย์ไม่เหมือนสมัยก่อนก็จริง
กระนั้นก็ตาม แพทย์ก็ยังเป็นอาชีพที่ค่อนข้างมีเกียรติในสังคมไทยอยู่
อยากให้ระลึกไว้เสมอว่า เกียรติที่เรายังได้รับจากสังคมทุกวันนี้
มาจาก 'ความดี' ของแพทย์รุ่นพี่ๆที่เสียสละเพื่อคนไข้และสังคม
การที่เรามีคำนำหน้าว่า นายแพทย์ หรือ แพทย์หญิง
เวลาไปติดต่องาน หรือ ทำธุรกรรมอะไร ส่วนใหญ่เค้ามักจะให้เกียรติ


5. หมอเหนื่อยมาก แต่มันจะเหนื่อยมากๆแค่ช่วงเรียน ใช้ทุน และ เทรนนิ่ง
เมื่อจบเป็นแพทย์เฉพาะทางแล้ว เราเลือกได้ครับ ว่าจะเหนื่อยต่อ หรือ ผ่อนลงมา
และ อาชีพอื่นๆเค้าก็ไม่ใช่ไม่เหนื่อย ไม่ลำบาก นะครับ
อย่าง สถาปนิก วิศวกร พนักงานบริษัท ไม่มีสบายแน่นอน เพียงแต่
ปัญหาจากการทำงานของเค้า อาจจะมีรูปแบบแตกต่างออกไปเท่านั้น


6. พูดถึงทางเลือก หมอมีทางเลือกเยอะนะครับ
จบแพทย์ใช้ทุน 3 ปีแล้วสามารถ
- เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางสาขาที่เราชอบ
- อยู่รพช. ต่อไป เป็นผู้อำนวยการรพ. ถ้าชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้ ผมว่าแฮปปี้มากนะครับ
- ออกมาทำ GP ในรพ.เอกชน แต่อนาคตข้างหน้า อาจจำเป็นต้องทำ FM บอร์ด เพิ่ม
- ออกมาทำคลีนิกผิวหนังในเมือง
- ออกไปทำธุรกิจอื่นๆ ลงทุน เล่นหุ้น
- เลือกสายบริหารก็ได้

การเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางไม่สามารถทำได้ทุกคน
เนื่องจากพื้นที่จำกัด ทุกวันนี้มีแพทย์จบปีละราวๆ 3000 คน
แพทยสภารับรองตำแหน่งเทรนนิ่งได้ราวๆ 1500 คน
ประมาณครึ่งนึงที่อาจจะไม่ได้เรียนต่อ
แต่ถ้าจบแพทย์เฉพาะทางแล้ว ก็มีทางเลือกอีกมากมาย
ขึ้นกับว่าตัวเราชอบแบบไหน
- เป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์
- ทำงานในรพศ หรือ รพท ถ้าไม่ชอบสอนหรือชอบทำวิจัยมากๆ
- ทำงานในรพ.เอกชน
- ลงทุน ทำธุรกิจ เล่นหุ้น
- สายบริหาร


7. ข้อนี้ไม่ควรเรียกว่าเป็นข้อดี
แต่เรียกว่าข้อเท็จจริงที่ควรรู้มากกว่า
หมอเป็นอาชีพที่มั่นคงครับ ไม่ตกงานแน่นอน ถ้าเราไม่เลือกที่ทำงาน
ส่วนเรื่องรายได้ผมคิดว่าน้องๆที่จะสอบเข้า สมควรได้รู้ครับ
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิด เพราะ หมอก็คน ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ดูแลครอบครัวเหมือนอาชีพอื่นๆ
แพทย์รายได้ถือว่าค่อนข้างดีถ้าเทียบกับอาชีพอื่นโดย 'เฉลี่ย'
รายได้ต่อเดือน จะรวมค่าเวร ค่าอื่นๆ เช่น เบี้ยกันดาร
รูปแบบเงินเดือน ไม่ใช่เหมือนพนักงานบริษัททั่วๆไป
แพทย์ใช้ทุน 5 หมื่น - 1 แสน
แพทย์รพช. ที่เปิดคลีนิกด้วย มักจะเกิน 2 แสน
แพทย์ประจำบ้าน (ช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง) 2 หมื่น + เวรเอกชนราวๆ 2-4 หมื่น = 4-5 หมื่น
แพทย์คลีนิกผิวหนัง 1-2 แสน
แพทย์ GP full time เอกชน 1-1.5 แสน
แพทย์เฉพาะทาง (อาจารย์รรพ.) รายได้จากรรพ. หลักหมื่น + part time เอกชน แล้วแต่ทำมากทำน้อย
แต่รวมๆแล้วก็ถึงแสนกว่าๆได้เหมือนกัน
แพทย์เฉพาะทาง (รพ. รัฐบาล) 5 หมื่น - 1 แสนกว่าๆ
แพทย์เฉพาะทาง (รพ. เอกชน) 2-5 แสน

เทคนิคการอ่านหนังสือ

เทคนิคการอ่านหนังสือ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อ่านหนังสือ

8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไง
ให้จำเร็วและแม่น

1. อ่านหน้าสรุปก่อน

อ่านตอนจบก่อนเลย หนังสือส่วนใหญ่ชอบเขียนชักแม่น้ำทั้งห้า เขียนอธิบายอย่างละเอียดยิบ ใช้ประโยคที่ต้องอ่านซ้ำสองสามรอบถึงจะเข้าใจ โดยเฉพาะในหน้าแรก ๆ ของบท เราไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติชีวิตของผู้เขียน บทนำ ซึ่งจะเป็นการเขียนเกริ่นแนะนำให้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ในทางกลับกัน บทส่งท้าย หรือบทสรุป เป็นสิ่งที่ต้องอ่าน โดยปกติแล้วจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนสรุปข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวมา อีกทั้ง หากเราอ่านบทสรุปก่อน แล้วกลับมาอ่านหน้าแรกอีกครั้งก็ทำให้เราสามารถอ่านได้เข้าใจมากขึ้น แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก่อนเพื่อไปเรียนในคาบถัดไป การอ่านส่วนบทสรุปก็ทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆ ของเนื้อหาที่ต้องเรียนแล้ว

2. ใช้ปากกาไฮไลต์เพื่อนเน้นใจความสำคัญ

ความจริงแล้ว การไฮไลต์ข้อความนั้นมีประโยชน์มาก “หากใช้อย่างถูกวิธี” ไม่ควรไฮไลต์ทุกอย่างในหน้า และไม่ควรไฮไลต์น้อยจนเกินไป สิ่งที่ควรทำคือ การไฮไลต์ข้อความหัวข้อสรุป หรือใจความสำคัญเด่นๆ เมื่อเราเปิดหนังสือมาอ่านอีกครั้ง เราจะสามารถทราบทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว

3. ดูสารบัญและหัวข้อย่อย

ทำให้เรารู้ใจความสำคัญของสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้อย่างดี เพราะผู้เขียนมักจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญซ้ำ ๆ ในทุกส่วนของหนังสือ

4. ขวนขวายกันสักนิด

แทนที่จะซึมซับทุกอย่างจากการอ่านหนังสือที่อาจารย์สั่งเท่านั้น ลองเปิดโลกใหม่ดูบ้าง หาหนังสือเล่มอื่นๆ ในห้องสมุด หรือในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะไปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาอ่านดู ซึ่งหนังสือบางเล่มพูดถึงเล่มเดียวกันแต่เขียนได้น่าอ่าน อ่านเข้าใจง่าย มีภาพประกอบเพิ่ม สรุปแบบอ่านแล้วเข้าใจ ซึ่งจริง ๆ เนื้อหาก็เรื่องเดียวกับที่เรียนในห้อง

5. พยายามอย่าอ่านทุกคำ

หลายคนคิดว่าการอ่านทุกคำจะช่วยให้จดจำข้อมูลได้อย่างละเอียดยิบ ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมองจะได้รับข้อมูลมากเกินไปและเกิดความล้า เบื่อหน่ายจนตาลอยอ่านหนังสือไม่เข้าหัวในที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในประเภทนิยายมักจะถูกเขียนอธิบายซ้ำ ๆ เพราะผู้เขียนต้องการจะกล่าวอธิบายให้กระจ่าง แต่ใจความสำคัญจริง ๆ แล้วอยู่ที่บทสรุปเพียงไม่กี่ย่อหน้า หนังสือส่วนใหญ่ใส่ข้อมูลหลักฐานจนแน่นมากกว่าจะกล่าวถึงประเด็น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีและน่าสนใจ แต่ทุกหลักฐานที่อ้างนั้นก็กล่าวถึงประเด็นเดียว การอ่านเพิ่มเติมก็เป็นการย้ำถึงประเด็นเดิม ดังนั้นเลือกหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดแล้วอ่านบทต่อไปเถอะ

6. เขียนสรุปมุมมองของผู้อ่าน

อดทนหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อ! คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเขียน แต่การเขียนนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลสำคัญในระยะเวลาอันสั้น หากเป็นไปได้ให้เขียนใจความสำคัญในแบบฉบับของเราใน 1 หน้ากระดาษ โดยพูดถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างสั้น ๆ และคำถามหรือความรู้สึกของเราที่ต้องการการค้นคว้าเพื่อหาคำตอบต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
การเขียนมุมมองของผู้อ่านเช่นนี้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทราบถึงประเด็นสำคัญของหนังสือเช่นเดียวกับการไฮไลต์ข้อความ เมื่อใกล้ถึงช่วงสอบ จะเป็นการง่ายกว่าที่เราจะนั่งอ่านมุมมองสรุปของผู้อ่าน แทนที่จะพลิกตำราอ่านหนังสือทั้งเล่มเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง

7. อภิปรายกับผู้อื่น

คนส่วนมากไม่ชอบการทำงานกลุ่ม แต่การจับกลุ่มกันพูดถึงเนื้อหาของหนังสือที่ต้องอ่านช่วยทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น บางครั้งอาจพูดถึงหนังสือในแง่ตลก ๆ ก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้เมื่อเราอยู่ในห้องสอบ เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน เป็นการใช้หลักการเชื่อมโยงข้อมูลที่ทำให้สมองของเราทำงานได้ง่ายขึ้น
การพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านช่วยทำให้เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากบางส่วนที่เรามองข้ามไป บางคนนั้นชอบเรียนรู้โดยการฟัง และมักจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ยินข้อมูล ดังนั้นการพูดคุยสนทนาถกเถียงประเด็นที่อยู่ในหนังสือจะทำให้เราจำประเด็นสำคัญนั้นได้ดีเมื่อได้ฟังผ่านหู ทำให้เราสามารถระลึกถึงข้อมูลส่วนนั้นได้เมื่ออยู่ในการสอบ

8. จดคำถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน

หัวใจหลักของเทคนิคนี้ คือการตั้งคำถาม อย่าเชื่อว่าผู้เขียนนั้นเขียนได้ถูกต้องซะทีเดียว ให้จดจ่อกับสิ่งที่อาจและใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ในการอ่าน เช่น
  • ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวเช่นนั้น?
  • หลักฐานคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือ?
  • ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนอย่างไร?
  • ผู้เขียนต้องการสื่อข้อความนี้ให้แก่ใคร?
คำถามอาจซับซ้อนกว่านี้หรือง่ายกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหนังสือที่อ่าน เคล็ดลับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราอ่านหนังสือและจดจำได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าอาจจะมีวิธีที่หลากหลายกว่านี้ แต่ละวิธีก็อาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิธีไหน
รู้แบบนี้แล้ว เราต้องลุกขึ้นมากระตือรือร้นในการอ่าน ค้นหาสิ่งที่อยากอ่าน และทุ่มเทสักหน่อย จดจำประเด็นสำคัญ หากทำได้เช่นนี้รับรองว่าหนังสือร้อยหน้าก็อ่านจบได้ในเวลาแค่แป๊บเดียว
ขอบคุณที่มา LifeHack.org

หนังสือเล่มโปรด

หนังสือเล่มโปรด

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

An Astronaut's Guide to Life on Earth

เล่มนี้เขียนโดยคุณ Chris Hadfield นักบินอวกาศจากประเทศแคนาดาที่เป็นหนึ่งในนักบินอวกาศที่โด่งดังมากคนนึง เขาปฏิบัติภารกิจบนอวกาศมาตั้งแต่ช่วงกระสวยอวกาศ จนถึงสมัยที่อเมริกาต้องส่งนักบินอวกาศขึ่นสู่วงโคจรด้วยยานโซยุสของรัสเซีย

ในเล่มนี้คุณ Chris จะเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็นช่วง ๆ ตั้งแต่ก่อนปล่อยยาน ช่วงปล่อยยาน ช่วงที่อยู่ในอวกาศ และช่วงกลับสู่โลก ซึ่งในหัวเรื่องใหญ่ก็จะเล่าลงรายละเอียดจนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาพูด

วัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ก็เพื่อบอกเล่าชีวิตในอวกาศเพื่อให้นำเรื่องราวต่าง ๆ มาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแก่ผู้ที่อยู่บนโลก ความกล้าหาญ ความกลัว การแก้ปัญหา และคุณค่าของความเป็นมนุษย์

แหล่งที่มา Spaceth.com

ประเพณีสงกรานต์

ประเพณีสงกรานต์

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
"สงกรานต์" เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า "ผ่าน" หรือ "เคลื่อนย้ายเข้าไป" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่น ๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง
โหรโบราณ ได้แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วน ส่วนหนึ่ง ๆ เรียกว่าราศี ซึ่งมีราศีละ 30 องศา 
รวม 12 ราศี ก็เท่ากับ 360 องศาครบรอบวงกลมพอดี 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 12 ราศี
ราศีเมษ
เกิดระหว่างวันที่ 13 เมษายน-13 พฤษภาคม
ราศีพฤษภ
เกิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน
ราศีเมถุนเกิดระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน -14 กรกฎาคม
ราศีกรกฎ
เกิดระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม
ราศีสิงห์
เกิดระหว่างวันที่ 17สิงหาคม -16 กันยายน
ราศีกันย์
เกิดระหว่างวันที่ 17 กันยายน - 16 ตุลาคม
ราศีตุล
เกิดระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน
ราศีพิจิก
เกิดระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม
ราศีธนู

เกิดระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม - 15 มกราคม
ราศีมังกร
เกิดระหว่างวันที่ 16 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์
ราศีกุมภ์

เกิดระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ - 13 มีนาคม
ราศีมีน
เกิดระหว่างวันที่ 14 มีนาคม - 12 เมษายน
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี สมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจาก หากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
และได้มีการใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ของไทยแต่นั้นเรื่อย มาแม้ว่าในปีต่อไปจะไม่ตรงกับวันสงกรานต์ (หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสู่ราศีเมษ) ทั้งนี้เพื่อให้มีการกำหนดวันทางสุริยคติที่แน่นอนตายตัวลงไป

แหล่งที่มาhttps://www.sanook.com/campus/948044/ 

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เศรษฐกิจพอเพียง
                เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี 

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้ 
๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ  ดังนี้
๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ
๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
                เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปนวทางการเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง

แนวทางการทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง
เน้นหาข้าวหาปลาก่อนหาเงินหาทอง คือ ทำมาหากินก่อนทำมาค้าขาย
โดยการส่งเสริม:
1.การทำไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสานเพื่อให้เกษตรกรพัฒนาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียง
2.การปลูกพืชผักสวนครัวลดค่าใช้จ่าย
3.การทำปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกและใช้วัสดุเหลือใช้เป็นปัจจัยการผลิต(ปุ๋ย)เพื่อลดค่าใช้จ่ายและบำรุงดิน
4.การเพาะเห็ดฟางจากวัสดุเหลือใช้ในไร่นา
5.การปลูกไม้ผลสวนหลังบ้าน และไม้ใช้สอยในครัวเรือน
6.การปลูกพืชสมุนไพร ช่วยส่งเสริมสุขภาพอนามัย
7.การเลี้ยงปลาในร่องสวน ในนาข้าวและแหล่งน้ำ เพื่อเป็นอาหารโปรตีนและรายได้เสริม
8.การเลี้ยงไก่พื้นเมือง และไก่ไข่ ประมาณ 10-15 ตัวต่อครัวเรือนเพื่อเป็นอาหารในครัวเรือน โดยใช้เศษอาหาร รำ และปลายข้าวจากผลผลิตการทำนา ข้าวโพดเลี้ยงสัตวจากการปลูกพืชไร่ เป็นต้น
 9.การทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์